top of page

SWISS HERITAGE

จากแผนที่รูปร่างคล้ายครัวซองต์ที่ล้อมรอบด้วยประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และออสเตรีย รวมถึงติ่งเล็กๆ อย่างลิกเตนสไตน์
  • Google+ Basic Black
  • Twitter Basic Black
  • Facebook Basic Black
ความเจียมเนื้อเจียมตัวทำให้สวิตเซอร์แลนด์พร้อมเป็นพันธมิตรกับทุกฝ่าย ภาษาต่างๆ ซึมซับเข้ามาตามพรมแดนเรือนเคียง ชาวสวิสจึงมีนิสัยต่างกันไปตามแต่ท้องถิ่น ชาวซูริคเย่อหยิ่งตามประสาคนเมืองใหญ่ เฉกเช่นชาวสวิส-เยอรมันทั่วไปที่มักทำตัวเป็นพวกชาตินิยม ด้านสวิส-ฝรั่งเศสมีความพิถีพิถันเรื่องกินเป็นที่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัดแต่ถ้าชอบแนวเข้าถึงง่าย แต่งตัวมีสไตล์ต้องมาส่วนสวิส-อิตาลี เดินทางไปประเทศเดียวแต่คุ้มเหมือนได้ท่องทั่วยุโรป ครั้งนี้ anywhere พายาตราสวิตเซอร์แลนด์แบบไม่ซ้ำรอยใครโดยใช้เส้นทางมรดกโลกเป็นที่ตั้ง
from south to east
จากแซร์มัทเมืองดาวเด่นที่คนไทยไปบ่อยจนติดอันดับหนึ่งในทัวริสต์ที่ไปเยือนมากสุด เราปักหมุดจุดหมายต่อไปในเส้นทางตะวันออกของประเทศ สู่เมืองที่แค่ออกเสียงยังเพี้ยนอย่างมูสตายร์(Müstair) มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของประเทศ ใช้ภาษาโรมานซ์ซึ่งคล้ายกับภาษาละตินเป็นหลัก ตลอดเส้นทางอันร้างไร้นักท่องโลกหน้าใหม่ ความสามารถในการเดินทางถูกควักออกมาใช้ทุกรูปแบบ หากถอดใจไม่ยอมทำการบ้านเพื่อรับมือกับความท้าทายแล้วไซร้ ทุกเมืองบนโลกคงเหมือนกับคนแปลกหน้าที่เราไม่มีวันรู้เลยว่า เขามีนิสัยน่ารักน่าใคร่เพียงใด
ZERMATTMountain Magic

ตั้งแต่ปี 1961 แซร์มัททำข้อตกลงไม่อนุญาตให้มีการใช้รถยนต์เป็นพาหนะ ที่เห็นขับกันอยู่ส่วนใหญ่เป็นรถพยาบาลและตำรวจซึ่งใชร้ ะบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน แม้จะตรากตรำจากการเดินทางและเปลี่ยนรถไฟไปหลายสถานีกว่าจะถึงเมืองสกีรีสอร์ทแซร์มัท อากาศเย็นสบายและความสดชื่นของธรรมชาติเป็นยาหอมชั้นดี โอโซนบริสุทธิ์พรั่งพรูเข้าปอดจนลืมไปแล้วว่ามลพิษเป็นอย่างไร

ตามชาเลต์และโรงแรมล้วนทำจากไม้สีน้ำตาลแสนคลาสสิก ระเบียงประดับด้วยดอกไม้น่ารักน่ามอง นักท่องเที่ยวที่ร่วมขบวนมากับเราพากันเดินตรงไปตามถนนสายหลักของเมือง Bahnhofstrasse หยุดที่ Hotel Pollux (www.reconline.ch/pollux) ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟมากนักด้านหน้ามีที่นั่งปูขนแกะฟูฟ่องดูนิ่มสบาย ภายในมีเตาผิงขนาดใหญ่จัดไว้คู่บาร์แสงสลัว นักดื่มสองคนมากึ่มไวน์กันตั้งแต่หัววัน ด้านหลังเชื่อมกับมุมพักผอ่ นกลางแจง้ มีเฟอรน์ เิ จอรไ์ มป้ ระดับด้วยดอกไมน้ ่ารกั จ๋มุ จิ๋ม ห้องพักทำจากไม้สนให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านในฝัน จากระเบียงห้องสามารถมองเห็นยอดมัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn)อยู่รำไร จนสามารถส่งสไกป์เรียกคนไกลมาชมภูเขาสัญลักษณ์ของเมืองประหนึ่งว่ามาด้วยกัน
แซร์มัทจัดได้ว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มสูบ ทุกอย่างสวยจัดวางทุกกระเบียด โรงแรมมากถึง 124 แห่ง ต่างระดับต่างดาวแต่เข้าขั้นมาตรฐานสวิสทุกที่ คือไว้ใจได้เรื่องความสะอาด ไม่มีอะไรให้กังวลว่า คุณจะเจออะไรเซอรไ์ พรสอ์ ย่บู า้ ง สมกับที่ Dalton Trumbo นักเขียนสครปิต์ชาวอเมริกัน หนึ่งในผู้ได้รับค่าจ้างสูงสุดของฮอลลีวูดได้กล่าวไว้ว่า “The only interesting thing that can happen in a Swiss bedroom is suffocation by feather mattress” ร้านอาหารมากถึง 101 ร้าน อยากทานชาติไหนมีหมดกระทั่งอาหารไทย ใครอยากลิ้มรสข้าวกระเพราและแกงจืดมื้อละ 1,500 บาทเชิญได้ที่แถบทางใต้ของแซร์มัท ร้าน Rua Thai ตั้งอยู่บนถนน Schluhmattstrasse กินเสร็จแล้วเดินตรงไปอีกนิด แฮงท์เอาท์กันต่อที่บาร์ใต้ดินสุดฮิพของ Hotel Firefly (www.firefly-zermatt.ch) โรงแรมชิคประจำเมือง ส่วนอาหารท้องถิ่นของสวิส Geschnetzeltes ทำมาจากเนื้อลูกวัวหั่นเป็นชิ้นบางยาวเคี่ยวในครีมข้น เสิร์ฟพร้อม Rosti มันฝรั่งหั่นละเอียดนำเอามาผสมแฮมหรือเนยแข็งแล้วทอดจนเป็นสีเหลืองทองสุดอร่อยเหาะนั้น เราไปพิสูจน์ที่ห้องอาหารของโรงแรม Walliserhof (www.walliserhof-zermatt.ch)หนึ่งในร้านอาหารเก่าแก่ของแซร์มัท คุณภาพสมคำเลื่องลือทั้งบริการและรสชาติ
ใกล้ชิดมัทเทอร์ฮอร์น ณ สถานีรถไฟโกเนอร์กราท (Gornergrat Bahn) จากสถานีในหมู่บ้าน เราต่อรถไฟที่ใช้กลไกเฟืองและโซ่แห่งแรกของสวิตฯ (1898) ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก้าวขึ้นสู่บนยอดเขาสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,089 เมตร เห็นยอดเขาแอลป์มากถึง 29 ยอด มีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของภูเขาแอลป์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของ 3100 Kulmhotel Gornergrat โรงแรมที่สูงสุดในยุโรป ทุกห้องพักตั้งชื่อตามยอดพีคของภูเขาแอลป์ วิวพาโนรามาพาใจล่องลอยราวกับได้เหยียบบนปุยเมฆ ส่วนห้องอาหารกลางแจ้งได้รับความนิยมเต็มทุกโต๊ะ นักเดินทางทุกคนดูตื่นตากับวิวอันยิ่งใหญ่จนลืมความหนาวเหน็บ เราเลือกจิบช็อคโกแลตร้อนนั่งมองยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นที่งดงามราวกับราชินีสวมมงกุฎ
 
กลับสภู่ าคพื้นดนิ เดินเลน่ ในหมบู่ ้านสำรวจรา้ นขายของที่ระลกึ ชอ็ ปสนิ ค้ารวมถึงบาร์น่านั่งมากมาย อีกหนึ่งร้านเด็ดไม่ควรพลาดคือร้านเบเกอรี่และช็อคโกแลต Bäckerei Fuchs (www.fuchs-zermatt.ch/en) เปิดมาตั้งแต่ปี 1965 มีมากถึง 3 สาขาในแซร์มัทท์ นอกจากเป็นผู้คิดประดิษฐ์ช็อคโกแลตรูปมัทเทอร์ฮอร์นเป็นเจ้าแรกแล้วยังได้รางวัลการันตีอีกด้วยโดยมัทเทอร์ฮอร์นช็อคโกแลตของที่นี่ใส่ความพิเศษด้วย Maracaiboดาร์คช็อคโกแลตที่ผลิตขึ้นแถบทะเลสาบ Maracaibo ในเวเนซูเอล่า มาไกลขนาดนี้ก็เหมาะแล้วกับการซื้อเป็นสินค้าของฝากให้คนสนิทระดับพรีเมี่ยม
โบสถ์เซนต์ปีเตอร์วางตัวโดดเด่นใจกลางเมือง ติดกันคือพิพิธภัณฑ์มัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn Museum) อีกหนึ่งสถานที่เรียนรู้ประวัติของหมู่บ้านมัทเทอร์ฮอนร์ในช่วงศตวรรษที่ 19 พร้อมประวัตินักปีนเขาชาวอังกฤษกลุ่มแรกผู้ทำให้เมืองไกลปืนเที่ยงนี้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดหรูขึ้นมา บุคคลในประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำคือEdward Whymper ผู้สามารถพิชิตยอดเขามัทเทอร์ฮอร์นได้สำเร็จเป็นคนแรก พร้อมหลักฐานโครงการที่คิดจะสร้างทางรถไฟขึ้นมัทเทอร์ฮอร์นเมื่อ 70-80 ปีก่อน น่ายินดีที่โครงการถูกพับไป ธรรมชาติที่ไม่โดนแตะต้องนั้นมีค่ากว่าผลงานมาสเตอร์พีซของศิลปินเอกยิ่งนักอีกหนึ่งย่านโรแมนติกคือ Hinterdorf จัดได้ว่าเป็นส่วนเก่าแก่ที่สุดของหมู่บ้าน มีโรงนาและคอกม้าเก่าเก็บมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 - 19 สภาพยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี รวมถึงน้ำพุสร้างไว้เพื่อเป็นเกียรติแก่นักปีนเขาระดับตำนาน คุณปู่ Ulrich Inderbinen ผู้มีอายุถึง 104 ปีและทำสถิติแบบไม่ยี่หระต่ออายุ ปีนขึ้นมัทเทอร์ฮอร์นมาแล้วกว่า 370 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อตอนอายุ 90 ปี!

เตรียมร่างกายให้อุ่นแบบจัดเต็ม เพื่อให้เหมาะแก่การขึ้นกระเช้าไปสู่วิวงามดั่งสรวงสวรรค์ ปลายทางคือ Matterhorn Glacier Paradiseที่ความสูง 3,883 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รอบตัวคือหิมะขาวโพลนและยอดเขา 38 ยอด วิวพาโนรามาสุดตะลึงตา อุณหภูมิติดลบทำให้ผู้คนมาเล่นสกีที่นี่ได้ 365 วัน จากสถานีปลายทาง เราเดินไปต่อลิฟท์ที่จะพาเรายกระดับไปบนยอดสูงสุดในยุโรป ร่างกายหนาวสั่นแต่ประทับใจกับวิวอันงดงามเหลือประมาณ ดวงอาทิตย์แรงกล้าแม้จะเกินเอื้อมแต่ใกล้กว่าที่เคย บางคนหยุดพักชิมอาหารแบบง่ายที่ Matterhorn Glacier Paradise Restaurant & Shop เพื่อได้ขึ้นชื่อว่า ได้รับประทานบนร้านอาหารสูงสุดในยุโรปมาแล้ว เป็นครั้งแรกที่เห็นยอดมัทเทอร์ฮอร์นมุมระนาบสายตาทีมงานถ่ายโฆษณาเครื่องดื่ม Rivella ยกกองมาที่นี่ ถือโอกาสทดลองชิมน้ำแร่ยี่ห้อนี้สักหน่อย เย็นซ่าสะใจจนยกให้เป็นเครื่องดื่มประจำทริป
ค่ำคืนสุดท้ายในแซร์มัท เพียงสองทุ่มทุกอย่างภายในหมู่บ้านเริ่มเงียบเชียบ แสงไฟลอดมาจากบาร์เป็นระยะ จันทร์เสี้ยวลอยเด่นชิดยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น งามกระจ่างตาจนชวนให้จินตนาการว่า หากพิชิตยอดเขาแล้วเราคงสามารถคว้าดวงจันทร์มาไว้ในอ้อมกอด ไม่ว่าจะมาเยือนสักกี่ครั้ง แซร์มัทไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักนิด

GETTING THERE
จาก Zurich Airport - Zermatt ออกจากZurich Airport ด้วยรถไฟปลายทางคือVisp จากนั้นเปลี่ยนรถไฟปลายทางคือ Zermatt ใช้เวลาเดินทางราวสามชั่วโมงครึ่ง

WHERE TO STAY
Hotel Pollux 28 Bahnhofstrasse, Zermatt 3920 โทร. +41 27 966 40 00 www.reconline.ch/pollux
MÜSTAIRFace To Faith

มูสตายร์ หมู่บ้านเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสวิตเซอร์แลนด์ หนึ่งในเมืองสำคัญของแคว้น Graubünden ซึ่งมีคอนแวนต์แห่งมูสตายร์(Convent St. John/ www.muestair.ch) เป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนหลั่งไหลมาด้วยความศรัทธา เนื่องจาก30 ปีที่แล้วมูสตายร์คือหนึ่งในสามเมืองหลักที่ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของสวิตฯ ร่วมกับเบิร์นเมืองหลวงและเมืองที่มีห้องสมุดที่สวยที่สุดในโลกอย่างแซงต์กัลเลน

หุบเขามูสตายร์ (Val Müstair / Val คือ Valley) ซึ่งยูเนสโกประกาศให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑล (UNESCO Reserve Biosfera Val Müstair –Parc Naziunal ประกอบไปด้วยพื้นที่แกนกลาง พื้นที่กันชน และพื้นที่รอบนอก) โดยรัฐบาลเข้ามาควบคุมดูแลเศรษฐกิจในเมืองภายใต้เงื่อนไข
การรักษาสมดุลของสังคม วัฒนธรรม และระบบนิเวศวิทยา Biosfera คือพื้นที่พัฒนาด้านความเป็นอยู่โดยห้ามรบกวนธรรมชาติ ข้อดีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์คือ หากเมืองใดสนใจที่จะประกาศตนให้เป็นเขตสงวนชีวมณฑล คนในชุมชนนั้นจะเสนอตัวเข้ามาเอง และชาวเมืองนี่แหละที่จะช่วยกันพัฒนาเมืองด้วยความเต็มใจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าออร์แกนิกรวมถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่กำลังได้รับความนิยมทั่วโลกต่างเกิดขึ้นในแถบเขตสงวนชีวมณฑล ทำให้หลายเมืองอยากมีส่วนร่วม แต่การจะดำรงให้เมืองของตนเป็นเขตสงวนชีวมณฑลนั้นยากมากนั่นจึงเป็นเหตุผลอันสมควรที่สุดที่นักเดินทางผู้มีจิตใจอนุรักษ์และเฝ้าหาความแตกต่างเลือกบุกป่าฝ่าเขามาเยือนมูสตายร์
ป้ายจอดรถบัส Clostra Son Jon อยู่ตรงข้ามกับคอนแวนต์แห่งมูสตายร์ยิ่งใหญ่และสวยสงบ ระฆังจากโบสถ์ดังก้องไพเราะจับใจ รู้สึกได้ถึงสัญญาณแห่งแดนธรรม รอบตัวตอนนี้คือหมู่บ้านชนบทมูสตายร์หนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีประชากรราว 700 คน นานๆ จะเห็นแสงจากรถยนต์ผ่านมาสักคัน ฝูงวัวกำลังเดินกลับเข้าคอกตามชาวนาไปปลายฟ้าส่องแสงสีชมพูอมม่วง อาทิตย์คงเพิ่งตอกบัตรกลับบ้านไปได้ไม่นาน ใกล้กับป้ายรถบัสแค่อึดใจ คือที่พักของเราในสองคืนนี้ Hotel Chavalatsch (www.hotel-muestair.ch) โรงแรมขนาดเล็กทาสีส้มอิฐวางตัวริมถนนใหญ่ส่องแสงไฟชวนอบอุ่น หนีหนาวแล้วเปิดประตูเข้าโรงแรม ก้าวเข้าสู่แบบทดสอบทางด้านภาษากันเลยดีกว่า
 
เจ้าของโรงแรมเป็นหญิงสาวร่างผอมรอคอยต้อนรับตรงส่วนล็อบบี้ที่รวมกับส่วนร้านอาหารในพื้นที่เดียวกัน ห้องพักสามชั้นไม่มีลิฟท์ กระเป๋าเดินทางลูกโตเธอสามารถแบกขึ้นไปให้เราได้แบบไม่มีปัญหา อากาศเย็นเกินกว่าจะเดินหิ้วทองไปกินอาหารในเมือง เราเลยฝากท้องไว้ที่นี่ พนักงาน
เสิร์ฟสาวมาดมั่นราวกับอีริน บรอค-โควิช พูดภาษาอังกฤษได้พอเข้าใจยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอเนื้อกวางอบ เพราะช่วงที่ไปเยือนกำลังใกล้หมดฤดูล่าสัตว์ อีรินของเราย้ำว่า ยูโชคดีมากๆ ที่จะได้ลิ้มลองเนื้อกวางก่อนปิดฤดูกาล เชื่อเธอแล้วไม่ผิดหวังจริงด้วย
ในตอนเช้า อาสาสมัครที่นัดไว้พาเราออกชมคอนแวนต์ เล่าประวัติถึงความเป็นมาของโบสถ์ 1,200 ปีที่ยูเนสโกได้มอบประกาศเกียรติบัตรให้เป็นถึงมรดกโลก โดยมีส่วนสำคัญตรงจิตรกรรมฝาผนังและเพดานเป็นภาพเขียนปูนเปียกคาโรลิงเจียน (Carolingian fresco) ซึ่งสมบูรณ์และใหญ่ที่สุดในโลก เล่าเรื่องราวของพระเยซูโดยเฟื่องฟูมากในช่วงปี ค.ศ.780 - 900 โบสถ์สร้างโดยกษัตริย์ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) ผู้ช่วยให้กรุงโรมและสันตะปาปารอดพ้นจากการยึดของพวกลอมบาร์ดส์ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “จักรพรรดิแห่งชาวโรมัน” เมื่อปี ค.ศ.800 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 3 ส่วนเสาทางด้านขวาของโบสถ์มีประติมากรรมปูนปั้น (Stucco) ขององค์ชาร์เลอมาญที่สร้างขึ้นในยุคกลางราวปี ค.ศ.1488 นักท่องเที่ยวและคริสต์ศาสนิกชนที่ดีต่างชื่มชมภาพเขียนอันประเมินค่าหาที่สุดมิได้ด้วยกริยาสำรวม ความอิ่มเอมใจบังเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงบทสวดมนตร์จากแม่ชีที่มาร้องขับขาน หากนางฟ้ามีอยู่จริง เสียงนี้คงไพเราะไม่ต่างกับเสียงนางสวรรค์เป็นแน่ เหล่าแม่ชียังคงสืบทอดการปฏิบัติตาม“วินัยของนักบุญเบเนดิกต์” (Rule of St Benedict) มาตั้งแต่ 1200 ปีที่แล้วอย่างเคร่งครัด นั่นคือ Peace Play และ Work ดังนั้นบริเวณรอบโบสถ์นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์และสำนักชีแล้วยังเปิดพื้นที่ให้ชาวนาเช่าเพื่อเลี้ยงวัว ในช็อปมีสินค้าที่แม่ชีช่วยกันทำเช่น โปสการ์ด คุกกี้ ฯ
 
จากโบสถ์สามารถเดินเล่นถึงตัวเมืองมูสตายร์ได้แบบสบายๆ ออกสำรวจเมืองแสนเงียบเหงาสร้างความรู้สึกเหมือนเดินในพิพิธภัณฑ์หมู่บ้าน ชอบมากกับสถาปัตยกรรมอันมีเอกลักษณ์โดดเด่น ตามผนังด้านนอกวาดลวดลายกราฟฟิตี้ (Sgrafitti) สวยงาม ซึ่งสมัยก่อนยังไม่มีสีสันมากนัก ตัวบ้านทาสีขาวทับซ้อนสีเทา จากนั้นใช้เหล็กแหลมกรีดให้เป็นลวดลายเรขาคณิต ผิดกับสมัยนี้ที่วาดรูปสวยงามตามใจฉัน ทำให้บ้านเมืองดูน่ารักและมีชีวิตชีวา ห่างจากมูสตายร์ไปไม่ไกลคือพรมแดนอิตาลีถนนเล็กแคบในหมู่บ้านจึงได้รับเกียรติจากรถสปอร์ตเฟอร์รารี่อยู่เรื่อยๆ
ตามร้านอาหารและโรงแรมพบเห็นนักทอ่ งเที่ยวยุโรปทั้งหมด พูดได้เลยว่า คนเอเชียน้อยนักที่จะเดินทางมาถึงที่นี่ เศรษฐกิจของเมืองขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์จากงานไม้แกะสลักและเฟอร์นิเจอร์โดยช่างไม้ฝีมือดีใช้ไม้สนพนั ธ์ุ Arvenmobel ซึ่งเกดิ ขนึ้ แถบนสี้ ามารถทนทานนานร้อยปี ได้รับความนิยมเนื่องจากกลิ่นไม้สนช่วยให้หลับสบายผลิตภัณฑ์จากนมและชีสยอดเยี่ยมเพราะผลิตในแหล่งธรรมชาติบริสุทธิ์100 % แนะนำร้านเบเกอรี่ Meier-beck (www.meierbeck.ch) จำหน่าย Nusstorte หรือทาร์ตถั่ว ขนมยอดฮิตของมูสตายร์
 
Hotel Chalavania ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน ด้านบนเปิดเป็นห้องพักที่ไม่หรูหรา แต่กว้างขวางและได้บรรยากาศโฮมสเตย์ ส่วนชั้นลอยเป็นร้านอาหารบรรยากาศแบบนายพรานสไตล์ ปืนผาหน้าไม้ เขาเลียงผาไซซ์เล็กใหญ่เรียงรายดังเกียรติบัตร อาหารทำจากสัตว์ป่าดูจะเป็นเมนูคู่บ้านคู่เมือง เรียกน้ำย่อยด้วยสลัดรวม เสิร์ฟผักสดกรอบมากับ Pilz เห็ดทอดชีสถือเป็นหมัดแย็บเด็ดนัก จานหลักไม่พ้นเมนูสัตว์ป่า Wild Hirschschnitzel เนื้อกวางอบชีสสุดนุ่ม อร่อยที่สุดในชีวิตที่เคยกินมา อีกหนึ่งงานศิลปะที่ควรหาเวลาแวะไปชมอยู่ที่ห้องอาหารของ Hotel Helvetia คือ ภาพจิตรกรรมอันเลื่องลือของมหาสงครามอิตาลีซึ่งเกิดขึ้นในปี 1499 โดยศิลปินชาวสวิส Hugo Weber ซึ่งบรรเลงไว้ได้สมจริงจนเราแทบจะได้ยินเสียงรบราออกมาจากตัวผนัง
 
จากสถานี Clostra Son Jon ใช้เวลาเพียง 10 นาทีโดยรถบัส เดินทางไปชมสินค้าโอท็อปของหมู่บ้านซานตา มาเรีย (Santa Maria) ตัวเมืองเล็กไม่ต่างกับมูสตายร์ ภายในหมู่บ้านเกิดปัญหาเช่นเดียวกันกับชนบทของไทย เด็กหนุ่มสาวต่างพากันย้ายถิ่นไปหางานทำในเมืองใหญ่ สิ่งที่
ศูนย์ทอผ้าTessanda พยายามทำคือ สร้างงานสร้างอาชีพให้แก่คนรุ่นใหม่ พบเห็นสาวสวยมาทอผ้ากี่กระตุกแบบบ้านเราดูแล้วเอาใจช่วยให้วัยรุ่นทั้งหลายยังคงรักษางานฝีมือที่ถ่ายทอดมาเกือบร้อยปีนี้ให้สืบไป
มูสตายร์อาจไม่ใช่ทางเลือกแรกสำหรับนักเที่ยวสวิตฯหน้าใหม่ แต่เรามีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอเพื่อชวนคุณให้วางหมุดหมายบนหมู่บ้านเล็กแสนไกล ที่ที่ศรัทธาแห่งศาสนาประจักษ์แจ้งในภาพเฟรสโกของคอนแวนต์มานานนับพันกว่าปี ภาษาไม่ใช่ปัญหาเพียงคุณเริ่มต้นด้วยรอยยิ้มแรก เหนืออื่นใดแล้วมูสตายร์คือสุดยอดแห่งสุดยอดด้านความบริสุทธิ์ทางธรรมชาติที่ทุกคนเฝ้าถวิลหา ไม่มีนักเดินทางคนไหนอยากจะปฏิเสธข้อเสนอชั้นเลิศแบบ Crème de la crème ที่มูสตายร์พร้อมมอบให้
 
GETTING THERE
จาก Zermatt - Clostra Son Jonby Glacier Express – Slowest Express Train in the world การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางด้วยหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ รถไฟสายกลาเซียร์เอ็กซ์เพรส รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลกความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนั้นขึ้นอยู่กับหนทางโดยวิ่งตรงจาก Zermatt ถึง St.Moritz เป็นระยะทางทั้งสิ้น 300 กิโลเมตรใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง เอาใจนักสกีที่อยากเดินทางไปยังสุดยอดสกีรีสอร์ทระดับโลกทั้งสองแห่งโบกี้รถไฟสีแดงกรุกระจกใส ภายในตู้โดยสารปรับอากาศกว้างขวางออกแบบให้ชมวิวแบบพาโนรามา สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้รอบทิศทาง ภูมิทัศน์สองข้างทางงดงามตระการตา ทั้งวิวชนบทสีเขียวสวยสดเทือกเขาแอลป์อันยิ่งใหญ่ปกคลุมด้วยหิมะขาว ลอดอุโมงค์ ผ่านสะพาน หุบเหวและสวิสแกรนด์แคนยอน บนขบวนรถไฟบริการทุกอย่างเต็มที่ทั้งอาหารและเครื่องดื่มมื้อกลางวันรวมอยู่ในราคาตั๋วแล้ว ที่ชอบอีกอย่างคือที่เสียบหูฟังให้ความรู้เวลาเข้าเขตเมืองต่างๆ มีช่องภาษาให้เลือกหลากหลาย จุดที่น่าสนใจเช่น Oberalppass ซึ่งเป็นสถานีสูงสุดด้วยความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,033 เมตรส่วนปลายทางของเราคือเมืองคูร์ (Chur) ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ต่ำสุดเพียง 585 เมตรบอกลารถไฟสายที่สวยที่สุดแล้วเปลี่ยนรถไฟอีก 2 สายเพื่อไปลงที่เมืองZernez จากนี้ต้องต่อรถบัส และแน่นอนบัตรเบ่ง Swisspass ยังถูกนำมาใช้ในทุกเส้นทางคมนาคมของประเทศ รถบัสออกตรงเวลา คนขับพารถบุกขึ้นเขาสูงชัน เป็นเส้นทางคดเคี้ยวเสียวหัวใจอยู่มิใช่น้อย ผ่านเขตอุทยานแห่งชาติBiosfera Val Müstair ก่อนจะเดินทางถึงป้าย Clostra Son Jonในเวลาชั่วโมงห้านาทีเป๊ะ
 
WHERE TO STAY
Hotel Chavalatsch11 Purtatscha Müstair 7537 โทร. +41 81 858 57 32
www.hotel-muestair.ch
MONTE SAN GIORGIO The Lost Worldภูเขาซาน จิออร์จิโอ (Monte San Giorgio) ภูเขาทรงปิรามิด ฉายา “ภูเขาแห่งฟอซซิล” ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกตั้งแต่ปี 2003 ขุนเขากว้างใหญ่ไพศาลกินอาณาเขตทั้งสวิตฯและอิตาลี ฝั่งสวิตฯตั้งอยู่ในแคว้นทิชีโน (Ticino) ด้านใต้ของสวิตฯและติดกับด้านเหนือของอิตาลี ผู้คนขึ้นชื่อเรื่องความเป็นมิตร ยิ้มง่ายมากกว่าคนสวิสภาคอื่นๆ รถบัสแวะส่งผู้คนตลอดทาง สวยงามด้วยไร่องุ่นวางหลั่นไปตามไหล่เขา ยิ่งสูงทางยิ่งแคบ ผ่านหมู่บ้านและป่าไพร แสงยามเย็นลอดเงาไม้สวยงามเกินกล่าว จังหวะที่ชอบที่สุดคือในขณะที่รถบัสซอกซอนไปตามหมู่บ้านเราเหมือนได้ไปเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านหน้าใหม่ ผู้คนทักทายปราศรัยยิ้มแย้มให้แก่กัน บ้างหุงหาอาหารเย็นตรงหน้าบ้าน กลิ่นหอมยั่วน้ำลายลอดช่องประตูเข้ามา เพลิดเพลินกับการเดินทางจนป้ายสุดท้ายมาถึงรถบัสจอดนิ่งที่หน้า Hotel Serpiano
 
พนักงานต้อนรับเชียร์ให้ออกไปชมวิวที่ห้องอาหารของโรงแรมก่อนอาทิตย์จะสิ้นแสง วิวกว้างใหญ่เบื้องหน้าฉายชัดเต็มสองตา เป็นหยูกยาบรรเทาอาการขบเมื่อยให้หายเป็นปลิดทิ้ง ทะเลสาบลูกาโนคดเคี้ยวไปตามแนวเขา หมู่บ้านเล็กๆ นับไม่ถ้วนแทรกตัวตามเนิน ไฟดวงน้อยจากในบ้านกำลังเปิดสว่างขึ้นทีละดวง เงาโบสถ์ของหมู่บ้าน Morcote สะท้อนบนทะเลสาบงดงามศักดิ์สิทธิ์ ด้านขวามีสะพานไฮเวย์ลอยฟ้าเชื่อมระหว่างเมือง Chiasso และ Lugano ไว้ด้วยกัน รถยนต์ทั้งหลายเคลื่อนตัวราวกับมดเดินเข้ารัง โลกบนนี้สงบสวยจับใจ
 
ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ โดยนั่งรถบัสสายเดิมกลับไปที่หมู่บ้านอายุพันปีเมริเด (Meride) ที่ตั้งของ Fossil Museum ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกเลือดทิชีโน Mario Botta เจ้าของผลงานโบสถ์สวยสุดพลังChurch of St. John the Baptist เมือง Lavizzara และตึกทรงแหลมท้าทายความสามารถด้วยพื้นที่จำกัดของ Watari Museum of Contemporary Art ในชิบุยะ ดูเผินๆ ภายนอกพิพิธภัณฑ์ฟอซซิลยังคงสภาพสถาปัตยกรรมเดิมแบบบ้านเก่า ซึ่งเชื่อมต่อกันในแบบครอบครัวใหญ่ ริมระเบียงปลูกดอกไม้สีสวยน่ารัก ตรงกลางมีลานกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ส่วนภายในบอททาดีไซน์ให้ออกมาทันสมัยขัดกับภาพหมู่บ้านภายนอกอย่างสิ้นเชิง ทั้งการจัดวางพื้นที่โชว์หุ่นจำลองสัตว์ดึกดำบรรพ์ซากสัตว์และประวัติของการค้นพบไม่น่าเบื่อเลยสักนิด
พิพิธภัณฑ์ฟอซซิลพาเราย้อนเวลาไปหาโลกเมื่อ 245-230 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งเรียกว่า ยุคกลางไทรแอสสิก (Middle Triassic) ภายในตึแบ่งออกเป็นสี่ชั้นแต่ละชั้นบอกประวัติความเป็นมาของโลก โชว์ภาพสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำหน้าตาประหลาดล้ำมีทั้งครีบและเท้าในตัวเดียวกัน รวมถึงซากหอยที่พบในชั้นถ่านหินทำให้เราทราบว่า ภูเขาซานจิออร์จิโอ้เคยเป็นทะเลมาก่อน โดยฟอซซิลทั้งหมดขุดพบโดยความร่วมมือกันของนักบรรพชีวินวิทยาทั้งชาวสวิสและอิตาเลียนมาตั้งแต่ปี 1850 จนปัจจุบันทั้งสองประเทศยังคงทำการศึกษาเพื่อขุดค้นต่อ
 
ถนนเล็ก ๆ ปลายหมู่นเมรเด ที่ตั้งของร้านอาหารบรรยากาศเก่าคลาสสิก Grotto Fossati เสิร์ฟอาหารท้องถิ่นรสชาติไม่คุ้นลิ้น เช่น ไส้กรอกLuganighetta เป็นไส้กรอกหมูที่นำมาต้มกับสมุนไพร หัวหอม ผักอื่นๆ และเบียร์ หม่ำกับโพเลนต้าหรือข้าวริซอตโต ทุกอย่างออกแนวเลี่ยนในแบบอิตาเลียนจนต้องเรียกหาน้ำอัดลม อาหารเหลือเยอะจนรู้สึกผิดอย่างไรก็ตามความคุ้มค่าคือการได้นั่งอยู่ในบ้านเก่าตั้งแต่ปี 1960 ได้กลิ่นไม้และอาหารที่ปรุงจากเตาถ่าน มวลความสุขของผู้คนที่ดื่มด่ำกับอาหารและบทสนทนาเผื่อแผ่มาถึงเราอย่างเต็มที่
 
รถบัสสายเดิมพาเราไปต่อที่หมู่บ้านเทรโมนา (Tremona) ที่ตั้งของหนึ่งในสี่ไร่ไวน์แถบภูเขาซาน จิออร์จิโอ Cantine Latini SA ปลูกองุ่นโดยไม่ใช้สารเคมี ปล่อยให้ธรรมชาติดูแลกันเองมีไวน์คุณภาพเยี่ยมระดับโลกได้รางวัลถึง 2 เหรียญทองคือ รุ่น Merlot 2009 ที่น่าสนใจคือโรงเก็บไวน์ปูด้วยหินอ่อนจากภูเขา Arzo ซึ่งเป็นแหล่งเดียวกันกับหินอ่อนที่ใช้ในโบสถ์Duomo กรุงมิลาน หินขนาด 1 X 1 เมตร ราคาประมาณ 220 สวิสฟรังก์หรือเกือบ 8,000 บาท ทำให้เราเดินในโรงเก็บไวน์อย่างระมัดระวังประหนึ่งจอมยุทธ์ผู้มีวิชาตัวเบา
 
จริงอยู่ที่ภูเขาซาน จิออร์จิโอซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยซากสัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ คือขุมคลังของนักบรรพชีวินวิทยาและนักประวัติศาสตร์ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวตัวจ้อยเช่นเรา เมื่อค้นพบจุดหมายโปรดแห่งใหม่คือโบนัสก้อนโตตอบแทนให้แก่การเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนัก ภูมิทัศน์เหนือฟ้าจากโรงแรมเซอร์ปิอาโน่ถือเป็นบุญตาโดยแท้ที่ได้มาประจักษ์
GETTING THERE
จาก Clostra Son Jon to Serpianoby Bernina Express, UNESCO World Heritage railway line

• จากภาคตะวันออกสู่ใต้ เปลี่ยนรถบัส ต่อรถไฟและต่อรถทัวร์ ระยะการเดินทางราว 10 ชั่วโมงไม่เป็นปัญหา เพราะระหว่างทางจากแซงต์ มอริทซ์ (St.Moritz) ถึงพรมแดนอิตาลีทิราโน่ (Tirano) เป็นเส้นทางมรดกโลกที่มีมานานหนึ่งศตวรรษ เราเดินทางด้วยสายรถไฟในฝัน Bernina Express เส้นทางรถไฟที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ พาสัมผัสบรรยากาศชนบท ข้ามผ่านธารน􀄬้ำแข็งสู่สวรรค์เขตอบอุ่นในพรมแดนอิตาลี พอถึงสถานี Tiefencastle ช่างภาพทุกคนต่างแยกย้ายกันไปสิงตามช่วงรอยต่อของโบกี้ เพื่อเปิดกระจกเก็บภาพLandwasser Viaduct รางรถไฟบนสะพานหินโบราณสร้างขึ้นระหว่างปี 1901และ 1902 ซึ่งสวยเด่นด้วยการเจาะช่องโค้งหกช่อง ตัวสะพานยาว 136 เมตรสูง 65 เมตร ออกแบบโดย Alexander Acatos วิวตระการตาที่พาหัวใจหล่นตุ๊บและเรียกเสียงรัวของชัตเตอร์ได้มากที่สุด

• เมื่อถึงปลายทางสถานีทิราโน่คึกคักสมกับเป็นเมืองพรมแดนของอิตาลีบุคลิกผู้คนแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ความปราดเปรียว กระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยวัยหนุ่มสาวมากขึ้นจนใจเต้นแรง จากสถานีเราลอดอุโมงค์ทางเดินเพื่อไปขึ้นรถไฟต่อที่ท่ารถบัส Bernina Express Bus รถบัสที่จะพาเราผ่านหมู่บ้านเล็กใหญ่ ไร่องุ่นวางเรียงรายสองข้างทาง ลัดเลาะไปตามริมฝั่งของทะเลสาบโคโม (Lake Como) จนถึงทะเลสาบลูกาโน่ (Lake Lugano)เพื่อเข้าเขตแดนของสวิตเซอร์แลนด์ ที่เอ่ยมาทั้งหมดเป็นภาพที่เราฝันไว้เพราะนาทีต่อจากนี้คือดราม่าของชีวิตจริงที่อาจเกิดกับใครก็ได้

“ขอดูใบจองด้วย” คนขับเบอร์นินาเอ็กซ์เพรสหน้าเข้มมาดดุราวกับตัวละครVictor Tellegio ในหนังอเมริกัน American Hustle รับบทโดยลุงโรเบิร์ตเดอ นิโร่ “เรามีแต่สวิสพาส” พร้อมยื่นใบตารางการเดินทางประกอบ “โนๆๆ ยูต้องมีใบจองทางอีเมลพร้อมชื่อ ตอนนี้คนเต็มแล้ว ถ้าจะไปต้องจ่ายเพิ่ม แต่ที่นั่งเหลือที่เดียวนะ อีกคนจะไปต้องนั่งตรงบันไดทางลง จ่ายคนละ 12 สวิสฟรังก์กับไอตรงนี้ แล้วหิ้วกระเป๋าขึ้นรถได้เลย” อย่างไรก็ไม่มีทางเลือก ช่างภาพหนุ่มผู้เสียสละจึงยอมนั่งตรงบันไดรถ ทำเอาเวียนหัวไปตลอดเส้นทางหนึ่งชั่วโมงเราเสียค่าโง่ให้ลุงโรเบิร์ต โดยที่การรถไฟสวิสยังหาคำตอบให้เราไม่ได้ว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไร เราจึงสรุปให้เองตามประสบการณ์ตรงที่เคยโดนขโมยของบนรถไฟในอิตาลีว่า ริย่ำในแดนสปาเกตตี้ต้องรอบคอบและระวังตัวมากกว่านี้!

• จากลูกาโน่ต้องต่อรถไฟอีกหนึ่งสายเพื่อไปยังสถานีรถไฟเมนดริสิโอ(Mendrisio) และห้อรถบัสไปอีกหนึ่งชั่วโมง ปลายทางอยู่ที่ Hotel Serpiano

WHERE TO STAY
Hotel Serpiano6867 Serpiano โทร. +41 91 986 20 00 www.serpiano.ch
bottom of page